วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ชิฟฟ่อนเค้กหรอยหร่อย กับการเรียนทำเบเกอรี่ที่ต้องหลงไหล

ชิฟฟ่อนเค้กหอมๆ กับการเรียนทำเบเกอรี่ที่ชวนติดตาม

ชิฟฟ่อนเค้กจัดเป็นขนมเค้กที่มีคนทุกเพศทุกวันชื่นชอบ ด้วยความพิเศษของชิฟฟอนเค้กที่มีเนื้อเค้กที่นุ่มนิ่มคล้ายคลึงกันกับเค้กสปันจ์ และจะมีเนื้อเค้กที่กลมกล่อมเหมือนกับบัตเตอร์เค้ก อย่างนั้นแล้วจึงทำให้เค้กชิฟฟอนกลายเป็นเค้กสุดโปรดของใครๆหลายๆคน และณ ขณะนี้ยังมีร้านเบเกอรี่อีกหลายร้าน ที่มักจะเจาะจงใช้เค้กเนื้อชิฟฟ่อนเค้ก เพราะทำได้ไม่ยากและมีรสชาติที่อร่อยโดดเด่น เพราะฉะนั้นให้บรรดาลูกค้านับไม่ถ้วนติดใจเค้กชนิดนี้ได้ไม่ยาก แต่วิธีการทำชิฟฟ่อนเค้กไม่ได้ง่ายสักเท่าไหร่นัก และการเรียนทำเบเกอรี่ชนิดนี้ก็ทำได้ยากด้วยเช่นกัน

ในส่วนของขั้นตอนการเรียนทำเบอเกอรี่ชิฟฟ่อนเค้กนั้น จะมีลักษณะขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนมากและจะต้องระแวดระวังในกรรมวิธีการผสมเนื้อเค้กด้วย เพราะถ้าเผลอผสมมากจนเกินไป เนื้อเค้กชิฟฟ่อนที่ได้ก็จะแน่นและไม่ขึ้นฟู แต่ถ้าเกิดคนน้อยจนเกินไปก็จะทำให้ส่วนผสมไม่เข้ากัน เนื้อเค้กที่ได้จะมีความไม่ละเอียดของเนื้อเค้กและมีฟองๆค่อนข้างมาก อย่างนั้นแล้วเค้กชนิดนี้จึงต้องความเอาใจใส่และความสามารถในการทำพอสมควร

สำหรับหลักของการเรียนทำเบเกอรี่เค้กชิฟฟ่อนนั้นแม้ไม่ยากเท่าการทำเบเกอรี่บางชนิดแต่ก็ค่อยข้าจะมีรายละเอียดเยอะพอสมควร โดยกรรมวิธีการทำจะแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ

ขั้นตอนที่ 1 ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเป็นกรรมวิธีของส่วนผสมแป้ง ไข่แดง น้ำตาลทราย น้ำเปล่า และวัตถุดิบอื่นๆ ส่วนในขั้นตอนของวัตถุดิบแป้งนี้จะแบ่งออกเป็นวัตถุดิบแห้งและส่วนผสมไข่แดง โดยตะล่อมในแต่ละส่วนให้เข้ากันก่อนนำมาตะล่อมให้เข้ากันอีกครั้งก่อนจะพักทิ้งไว้ เพื่อรอที่จะนำไปผสมกับส่วนผสมในขั้นตอนที่สองต่อไป จากที่เขียนไปข้างต้นไม่ยากเกินความสามารถของทุกคนเลยครับ ที่จะเริ่มเรียนทำเบเกอรี่ชนิดนี้ งั้น “เรามาลุยต่อกับส่วนผสมที่สองกันเลย”

ก่อนเริ่มเรียนทำเบเกอรี่ในขั้นต่อไปนี้ แนะนำให้ล้างมือให้สะอาดก่อนทำเพราะผงฝุ่นอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการทำเค้กชิฟฟ่อนได้ สำหรับส่วนที่ 2 นั้นจะเป็นวิธีการในส่วนของวัตถุดิบไข่ขาว สำหรับในวิธีการเตรียมไข่ขาวจะต้องมีการระมัดระวังไม่ให้ไข่แดงปนกับไข่ขาวโดยเด็ดขาดไม่อย่างนั้นจะทำให้มีข้อผิดพลาดในการผสมได้ โดยขั้นตอนนี้จะมีส่วนผสมหลักๆ 3 อย่างคือ ไข่ขาว ครีมออฟทาทาร์หรือน้ำมะนาว และน้ำตาลทรายละเอียด โดยเริ่มจากการคลุกเคล้าไข่ขาวกับครีมออฟทาทาร์ให้เป็นฟองหยาบ ก่อนจะหยอดใส่น้ำตาลทรายละเอียดลงไปทีละน้อย จนไข่ขาวตั้งยอด จากนั้นให้แบ่งไข่ขาวที่ตีเสร็จแล้วออกเป็น 3 ส่วน คนเข้ากับส่วนผสมในขั้นตอนที่หนึ่งที่พักรอไว้จนหมด โดยขั้นตอนนี้จะต้องพยายามคนให้เบามือแต่รวดเร็ว ก่อนจะนำไปอบโดยมีอุณหภูมิที่ใช้อบอยู่ที่180-200°cหลักจากเค้กสุกให้นำออกมาจากเตาและคว่ำลงบนตะแกรงทันที รอให้เย็นก่อนนำไปแต่งหน้าตามที่ต้องการ

 

เห็นไหมว่าเค้กชิฟฟ่อนนอกจากจะเป็นเค้กที่มีคนหลงรัก และชื่นชอบมากแล้ว แม้ในการเรียนทำเบเกอรี่ จะมีรายละเอียดและขั้นตอนการทำที่เยอะไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยุ่งยากเกินความสามารถ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถทดลองหัดทำได้แค่เอาใจใส่ในขั้นตอนเล็กๆน้อยๆที่ได้แนะนำไปแล้วเท่านั้น ก็จะสามารถอบเค้กชิฟฟ่อนอร่อยๆได้แน่นอนครับ วันนี้การเรียนทำเบเกอรี่ชิฟฟ่อนเค้กคงต้องขอจบเพียงเท่านี้ ไว้โอกาสหน้าครูอ้วนจะนำความรู้ดีๆมาให้เพื่อนๆ ใหม่นะครับ สวัสดีครับ

 

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

3 เค้กหลักที่อยากให้สัมผัส ก่อนเรียนทำเบเกอรี่

เค้กที่น่าจะรู้จัก ก่อนเรียนทำเบเกอรี่

 

ก่อนเรียนทำเบเกอรี่เราน่าจะมาทำความรู้จักกับคำว่า ‘เค้ก’ กันก่อนเลย คำว่าเค้ก(Cake)นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชาวไวกิ้งคือคำว่า “kaka” โดยเริ่มจากปี1843 นักเคมีชาวอังกฤษที่ได้วิจัย“ผงฟู” หรือ“baking powder” ขึ้นมา จนทำให้สามารถทำขนมปังที่ขึ้นฟูโดยไม่มียีสต์ได้เป็นครั้งแรก โดยในปัจจุบันเค้กมีเนื้อเค้กชนิดต่างๆที่คล้ายคลึงกัน แต่เราสามารถแบ่งชนิดของเนื้อเค้กที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ออกได้เป็น 3 ชนิดหลักๆนั่นก็คือ

 

1.เค้กเนยหรือบัตเตอร์เค้ก (Butter Cake)
โดยทั่วไปแล้วเนื้อเค้กชนิดนี้จะมีคุณลักษณะของเนื้อเค้กที่แน่นที่สุดจากเนื้อเค้กทั้งหมด 3 ชนิดที่เกริ่นไว้ เพราะเค้กเนยหรือบัตเตอร์เค้กมีองค์ประกอบของเนยเป็นหลัก เพราะเหตุนั้นจึงทำให้มีอากาศภายในเนื้อเค้กน้อย เลยทำให้เค้กเนยมีเนื้อเค้กที่ละเอียดและมีเนื้อแน่นไปจนถึงมีน้ำหนักสูงกว่าเค้กชนิดอื่นๆ สำหรับเค้กเนยหรือบัตเตอร์เค้กมีวิธีผลิตโดยปกติเริ่มจากการตีเนยกับน้ำตาลให้ขึ้นฟูก่อนจะใส่ไข่ลงไปตีด้วยกันแล้วจึงใส่แป้งซึ่งเป็นส่วนประกอบที่เหลือลงไป และที่พิเศษไปกว่านั้นเค้กเนยเป็นเค้กที่มีขั้นตอนในการทำไม่ยาก เหมาะกับการหัดเรียนทำเบเกอรี่เป็นอย่างยิ่ง

 

2.สปันจ์เค้ก (Sponge Cake)
โดยสปันจ์เค้กนั้นเป็นหนึ่งในเค้กชนิดหลักอย่างเค้กไข่ (Foam cake) ซึ่งจะมีความแน่นของเนื้อเค้กเป็นเนื้อที่เบากว่าบัตเตอร์เค้กแต่หนักกว่าชิฟฟ่อนเค้ก โดยปกติแล้วจะนำมาแต่งหน้าด้วยครีมสดหรืออื่นๆ โดยส่วนใหญ่จะแบ่งเค้กเป็นชั้นๆแต่ก็มีหลายคนนิยมเอาไปทำเป็นแยมโรลไส้ต่างๆด้วยเช่นกัน สำหรับขั้นตอนการทำสปันจ์เค้กจะมุ้งเน้นเรื่องการตีไข่แดงและไข่ขาวให้ขึ้นฟู โดยขั้นตอนการทำสทำสปันจ์เค้กจะเริ่มจากการตีไข่และน้ำตาลจนขึ้นฟู แล้วจึงเติมส่วนผสมที่เป็นแป้งลงไป ก่อนจะผสมเนยที่ละลายแล้ว โดยทั่วไปแล้วการเรียนทำเบเกอรี่มักจะใช้เค้กชนิดนี้ มาเป็นเค้กหลักในการสอนเพราะเป็นเค้กที่ทำได้ง่ายและมีความผิดพลาดน้อย จึงเป็นตัวผลักดันแรงบันดาลใจให้ผู้หัดทำเค้กเป็นอย่างดี

 

3.ชิฟฟ่อนเค้ก (Chiffon Cake)
ชิฟฟ่อนเค้กเป็นเนื้อเค้กที่นุ่มนิ่มที่สุดในเค้กทั้ง 3 ชนิด และนิยมนำไปแต่งหน้าด้วยครีมสด และช็อกโกแลตฟัดจ์หรือครีมอื่นๆแต่ด้วยตัวชิฟฟ่อนเค้กนั้นมีลักษณะของเนื้อเค้กที่ค่อนข้างจะเบามาก จึงทำให้ตัวเนื้อเค้กไม่สามารถที่จะรับน้ำหนักของหน้าเค้กที่หนักเกินไปได้ ฉะนั้นถ้าจะเลือกชิฟฟ่อนเค้กมาใช้แต่งหน้าแล้วหล่ะก็ ควรคัดสรรค์และเลือกใช้ของแต่งหน้าที่มีน้ำหนักเบา ส่วนใหญ่ขั้นตอนในการทำชิฟฟ่อนเค้กนั้นจะมีจุดที่แตกต่างจากเค้กชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด คือการแยกไข่แดงและไข่ขาว ส่วนมากจะมี}หลักในการที่เริ่มจากการคนไข่แดง กับแป้ง ผงฟู น้ำตาล น้ำมันพืช และองค์ประกอบอื่นๆรวมไว้ด้วยกัน ก่อนที่จะคนไข่ขาวกับน้ำตาลและครีมออฟทาทาร์ให้ตั้งยอด แล้วจึงนำเอาส่วนประกอบทั้งไข่แดงและไข่ขาวมาทำการคลุกให้เข้ากันอีกครั้ง ชิฟฟ่อนเค้กนี้ถือว่ามีขั้นตอนในการทำที่ยากที่สุดจากเค้กที่พูดไว้ หากคิดที่จะเริ่มเรียนทำเบเกอรี่จากเค้กชนิดนี้ แนะนำให้ดูตามสูตรอย่างถี่ถ้วน

 

มาถึงตอนนี้สาวกเค้กคงจะได้รู้จักวิธีการพอสังเขปและจุดแตกต่างระหว่างเนื้อเค้กแต่ละชนิดกันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มเรียนทำเบเกอรี่ การลงมือฝึกฝนและทดลองอบขนมเค้กที่คุณชื่นชอบ ถือเป็นขั้นตอนต่อไปที่ทุกคนจะต้องขวนขวายและฝึกฝนด้วยตัวเอง เพราะถ้าหากเราไม่ฝึกฝนก็จะไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ ลองเลือกชนิดของเค้กที่สนใจจะทำ แล้วไปลงมือทำเค้กกันเลยดีกว่าครับ

เค้กที่น่าจะลิ้มรส ก่อนเรียนทำเบเกอรี่

ก่อนเรียนทำเบเกอรี่เราต้องมาทำความรู้จักกับคำว่า ‘เค้ก’ กันดีกว่าครับ คำว่าเค้ก(Cake)นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชาวไวกิ้งคือคำว่า “kaka” โดยเริ่มจากปี1843 คุณอัลเฟรด เบิร์ด (Alfred Bird) นักเคมีชาวอังกฤษที่ได้วิจัย“ผงฟู” หรือ“baking powder” ขึ้นมา จนทำให้สามารถทำขนมปังที่ขึ้นฟูโดยไม่ใส่ยีสต์ได้เป็นครั้งแรก โดยในปัจจุบันเค้กมีเนื้อเค้กหลายแบบที่คล้ายคลึงกัน แต่เราสามารถแบ่งชนิดของเนื้อเค้กที่เป็นที่รู้จัก ออกได้เป็น 3 ชนิดหลักๆนั่นก็คือ

 

1.เค้กเนยหรือบัตเตอร์เค้ก (Butter Cake)
โดยเนื้อเค้กชนิดนี้จะมีความแน่นของเนื้อเค้กที่แน่นที่สุดจากเนื้อเค้กทั้งหมด 3 ชนิดที่เอ่ยไว้ เพราะเค้กเนยหรือบัตเตอร์เค้กมีองค์ประกอบของเนยเป็นหลัก ดังนั้นจึงทำให้มีอากาศภายในเนื้อเค้กน้อย จึงทำให้เค้กเนยมีเนื้อเค้กที่เรียงเป็นเม็ดสวยงามและมีเนื้อแน่นไปจนถึงมีน้ำหนักมากกว่าเค้กชนิดอื่นๆ สำหรับเค้กเนยหรือบัตเตอร์เค้กมีขึ้นตอนการทำโดยปกติเริ่มจากการตีเนยกับน้ำตาลให้ขึ้นฟูก่อนจะใส่ไข่ลงไปผสมด้วยกันแล้วจึงใส่แป้งที่เป็นส่วนประกอบที่เหลือลงไป และที่พิเศษไปกว่านั้นเค้กเนยเป็นเค้กที่มีกรรมวิธีการทำไม่ยาก เหมาะกับผู้เริ่มต้นเรียนทำเบเกอรี่เป็นอย่างยิ่ง

 

2.สปันจ์เค้ก (Sponge Cake)
สำหรับสปันจ์เค้กนั้นเป็นหนึ่งในเค้กชนิดหลักอย่างเค้กไข่ (Foam cake) ซึ่งจะมีลักษณะของเนื้อเค้กเป็นเนื้อที่เบากว่าบัตเตอร์เค้กแต่หนักกว่าชิฟฟ่อนเค้ก ส่วนใหญ่นำมาแต่งหน้าด้วยครีมสดหรือครีมอื่นๆ โดยส่วนมากจะแบ่งเค้กเป็นชั้นๆแต่ก็มีหลายคนชอบเอาไปทำเป็นแยมโรลไส้ต่างๆด้วยเช่นกัน สำหรับขั้นตอนการทำสปันจ์เค้กจะเน้นเรื่องการตีไข่แดงและไข่ขาวให้ขึ้นฟู โดยกระบวนการทำทำสทำสปันจ์เค้กจะเริ่มจากการตีไข่และน้ำตาลจนขึ้นฟู แล้วจึงเติมส่วนประกอบที่เป็นแป้งลงไป ก่อนจะผสมเนยที่ละลายแล้ว โดยปกติแล้วการเรียนทำเบเกอรี่มักจะใช้เค้กชนิดนี้ มาเป็นฐานในการให้ความรู้เพราะเป็นเค้กที่ทำได้ไม่ยากเย็นนัก,และมีความเสี่ยงน้อย จึงเป็นตัวผลักดันแรงบันดาลใจให้ผู้หัดทำเค้กเป็นอย่างดี

 

3.ชิฟฟ่อนเค้ก (Chiffon Cake)
ชิฟฟ่อนเค้กเป็นเนื้อเค้กที่เบาที่สุดในเค้กทั้ง 3 ชนิด และนิยมนำไปแต่งหน้าด้วยครีมสด และช็อกโกแลตฟัดจ์หรือครีมอื่นๆแต่ด้วยตัวชิฟฟ่อนเค้กนั้นมีคุณลักษณะของเนื้อเค้กที่ค่อนข้างจะเบามาก เลยทำให้ตัวเนื้อเค้กไม่สามารถที่จะรับสภาพของหน้าเค้กที่มากเกินไปได้ ดังนั้นถ้าจะเลือกชิฟฟ่อนเค้กมาใช้แต่งหน้าแล้วหล่ะก็ ควรพิจารณาและเลือกใช้ส่วยผสมที่มีน้ำหนักเบา ส่วนมากกระบวนการทำทำชิฟฟ่อนเค้กนั้นจะมีจุดที่ไม่เหมือนจากเค้กชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด คือการแยกไข่แดงและไข่ขาว โดยมักจะมีวิธีการที่เริ่มจากการตีไข่แดง กับแป้ง ผงฟู น้ำตาล น้ำมันพืช และองค์ประกอบอื่นๆรวมไว้ด้วยกัน ก่อนที่จะคลุกเคล้าไข่ขาวกับน้ำตาลและครีมออฟทาทาร์ให้ตั้งยอด แล้วจึงนำเอาองค์ประกอบทั้งไข่แดงและไข่ขาวมาทำการผสมให้เข้ากันอีกครั้ง ชิฟฟ่อนเค้กนี้ถือว่ามีขั้นตอนในการทำที่ยากที่สุดจากเค้กที่เอ่ยไว้ หากคิดที่จะเริ่มเรียนทำเบเกอรี่จากเค้กชนิดนี้ แนะนำให้ดูตามสูตรอย่างละเอียด

 

มาถึงตอนนี้ผู้อ่านคงจะได้รู้จักหลักในการโดยสังเขปและความแตกต่างระหว่างเนื้อเค้กแต่ละประเภทกันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มเรียนทำเบเกอรี่ การลงมือฝึกฝนและทดลองอบขนมเค้กที่คุณชื่นชอบ ถือเป็นขั้นตอนต่อไปที่ผู้อ่านจะต้องขวนขวายและฝึกหัดด้วยตนเอง เพราะถ้าหากเราไม่ฝึกฝนก็จะไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ ลองเลือกชนิดของเค้กที่สนใจจะทำ แล้วไปลงมือทำเค้กกันเลยดีกว่าครับ

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เริ่มเรียนทำเบเกอรี่ด้วย ‘คัพเค้ก’ ฟรุ้งฟริ้ง

ก่อนเริ่มเรียนทำเบเกอรี่เรามารู้จักเจ้า ‘คัพเค้ก’ หลากสไตล์กันก่อนเลย คงไม่มีใครค้านว่าคัพเค้ก(Cupcake)เป็นหนึ่งในขนมประเภทเบเกอรี่ ที่ในขณะนี้กำลังเป็นเบเกอรี่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในบ้านเราและทั่วโลก เพราะคัพเค้กเป็นเค้กที่มีการตกแต่งออกมาได้น่าทานและน่าสนใจ ทำให้หลายๆคนต้องเพลี่ยงพล้ำให้กับเจ้าคัพเค้กที่แสนงามอีกด้วย จึ่งไม่แปลกเลยที่ทำให้คนทั้วๆไปแสวงหาที่จะเรียนทำเบเกอรี่ชนิดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆแล้วเจ้าคัพเค้ก(cupcake) แสนงามหน้าตาน่าเจี๊ยของใครหลายๆคน ได้ถูกค้นพบครั้งแรกใน ค.ศ. 1828 ในหนังสือEliza Leslie'sReceiptscookbook ในช่วงต้นศตวรรรษที่ 19 และเดิมทีในสมัยก่อนยังอบ Cupcake กันด้วยถ้วยกระเบื้องอีกด้วย สาเหตุก็ที่ทำขึ้นมามาจากการที่ต้องการจะประหยัดระยะเวลาที่ใช้ในการอบ

ด้วยคัพเค้ก(Cupcake)ไม่ได้มีเพียงหน้าตาที่สวยงามเท่านั้นแต่ยังมีข้อเด่นในเรื่องของหลักการทำที่ง่าย สะดวกและรวดเร็วกว่าการทำเค้กแบบปกติที่มีขนาดใหญ่กว่า ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 20 ได้มีการเริ่มต้นทำคัพเค้กด้วยถ้วยอลูมิเนียมและถ้วยกระดาษสีสันสะดุดตา ทำให้ตั้งแต่นั้นมา ‘คัพเค้ก’ จึงได้รับความนิยมอย่างมากมาจนถึงเวลานี้ โดยอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการทำคัพเค้กนั้นก็คือ บรรดาเจ้ากระดาษที่มีสีสันสดใสซึ่งเปรียบเสมือนหน้าตาที่ดึงดูดให้ผู้ที่พบเห็นอยากชิมคัพเค้กอีกด้วย นอกจากนี้แม่พิมพ์สำหรับวางถ้วยกระดาษก็เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการทำคัพเค้กด้วยเช่นกัน โดยอุปกรณ์อย่างถ้วยกระดาษที่มีสีสันต่างๆนั้น เราสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ทั่วไป

โดยทั่วไประยะเวลาที่ใช้ในการอบคัพเค้กนั้น จะใช้เวลาในการอบอยู่ราวๆ 12-20 นาทีเป็นส่วนใหญ่ โดยระยะเวลาเพียงน้อยนิดนี้ก็จะทำให้ได้คัพเค้กแสนงามออกมาให้เราได้สร้างสรรค์และได้ชิมรสชาติแสนอร่อยกันง่ายๆ สำหรับในส่วนของการตกแต่งหน้าคัพเค้ก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้คนรู้สึกอยากทานเจ้าคัพเค้กนั้น ส่วนใหญ่นิยมแต่งหน้าด้วยบัตเตอร์ครีมรสชาติต่างๆ มาใช้บีบลงบนคัพเค้กได้เลยก่อนที่จะเลือกวางทอปปิ้งต่างๆไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาน้ำตาลสำหรับตกแต่ง หรือผลไม้ต่างๆโดยผลไม้ที่เหมาะสำหรับนำเอามาใช้แต่งหน้าคัพเค้กนั้น โดยส่วนใหญ่จะเลือกใช้ของตกแต่งที่ออกรสเปรี้ยวอมหวาน เพื่อให้ตัดกับรสชาติของครีมเนยหรือจะเลือกผลไม้ที่มีรสชาติตัดกับรสชาติของเนื้อคัพเค้กก็ได้ ยกตัวอย่างผลไม้ที่ถูกนำเอามาใช้วางตกแต่งคัพเค้กได้แก่ เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ สตอเบอรี่ ราสเบอร์รี่ และส้ม

ด้วยโอกาสหรือสถานที่ที่เหมาะจะนำคัพเค้กไปใช้นั้น ในปัจจุบันมีคนจะนวนไม่น้อยที่นิยมและเลือกใช้คัพเค้กเป็นขนมในงานสังสรรค์ปาร์ตี้ต่างๆ ไม่ว่าจะวันเกิด งานแต่งงาน งานฉลองโอกาสพิเศษต่างๆ หรือจะทานเล่นก็ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปัจจุบันคัพเค้กได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วไปอย่างแพร่หลาย หากใครคิดจะเริ่มเรียนทำเบเกอรี่แล้ว ‘คัพเค้ก’ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากที่จะทำให้คุณได้เรียนทำเบเกอรี่อย่างง่ายๆ และสามารถสร้างรายได้ให้กับคุณอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สอนทำเบเกอรี่

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เริ่มเรียนทำเบเกอรี่ กับ 4 ชนิดขนมปังที่ต้องเรียนรู้

ทุกๆท่านรู้หรือไม่ว่าขนมปังที่เราชื่นชอบกันอยู่นั้นมีกี่ประเภทและแต่ละชนิดมีความต่างกันอย่างไร วันนี้โรงเรียนสอนทำเบเกอรี่ครูอ้วน จะแนะนำให้รู้จักเกี่ยวกับขนมปังแต่ละชนิดกันมากขึ้น ว่าแท้จริงแล้วขนมปังมีอยู่กี่ชนิดและแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างเรามาทำความรู้จักและเริ่มเรียนทำเบเกอรี่กันได้เลย



เริ่มจากชนิดของขนมปัง สำหรับชนิดขนมปังนั้นสามารถจำแนกได้ตามปริมาณของน้ำตาลและไขมันที่อยู่ในขนมปัง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ

  1. ขนมปังผิวแข็ง (Hard Bread) โดยขนมปังผิวแข็งหรือHard Bread ทั่วๆไปแล้วจะมีปริมาณของน้ำตาลอยู่ที่ 0-2% และมีไขมันต่ำเพียงแค่0-3% จึงทำให้เนื้อขนมปังชนิดนี้จะมีเนื้อที่ได้มีความชุ่มชื้นน้อยและมีผิวด้านนอกแข็ง ยกตัวอย่างเช่น บาแก็ต หรือที่เราเรียกกันว่าขนมปังฝรั่งเศส เป็นต้น “นั่นแน่” เริ่มเรียนทำเบเกอรี่ กับขนมปังชนิดแรกไปแล้ว เรามาดูชนิดต่อไปกันครับ
  2. ขนมปังจืด (Loaf Bread) ส่วนขนมปังจืดหรือLoaf Bread ทั่วไปจะมีปริมาณของน้ำตาลอยู่ที่ 4-8 เปอร์เซ็นต์มีปริมาณไขมันอยู่ที่ ร้อยละ 3-6ยกตัวอย่างขนมปังแบบชนิดขนมปังจืดที่เรารู้จักกันดีอาทิเช่นขนมปังแซนวิช ขนมปังหัวกระโหลก เป็นต้น ขนมปังชนิดนี้จัดอยู่ในระดับง่ายเหมาะมากสำหรับผู้ที่เพิ่งจะ “เริ่มเรียนทำเบเกอรี่”

 

  1. ขนมปังกึ่งหวาน (Soft bun) สำหรับขนมปังกึ่งหวานหรือSoft bun นั้นจะมีปริมาณของน้ำตาล มากถึง 10-14%มีปริมาณไขมันอยู่ที่ ร้อยละ 8-12 ทำให้เนื้อของขนมปังชนิดนี้จะมีลักษณะของเนื้อขนมปังที่ยืดหยุ่นหรืออาจจะมีไส้ด้วยก็เหมาะกันดียกตัวอย่างขนมปังชนิดนี้เช่น ขนมปังแฮมเบอเกอร์ ขนมปังฮอทดอก เป็นต้น ขนมปังชนิดนี้เป็นที่ต้องการอย่างแพร่หลาย หากเรียนทำเบเกอรี่ชนิดนี้ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
  2. ขนมปังหวาน (Sweet Dough) ขนมปังชนิดสุดท้ายอย่างขนมปังหวานหรือSweet Dough โดยทั่วไปจะมีปริมาณของน้ำตาลสูงถึง 16-22%และจะมีปริมาณของไขมันอยู่ที่ 12-24 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

สำหรับในส่วนของส่วนผสมขนมปังนั้น จะแบ่งส่วนผสมหลักๆที่ใช้ในการทำขนมปังออกเป็น 2 ส่วนคือ
1.ส่วนผสมที่เป็นส่วนประกอบ|ใหญ่ๆของขนมปังอย่างเช่น แป้งสาลี ยีสต์ น้ำ และ เกลือ
2.ส่วนผสมอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับชนิดและลักษณะของขนมปังที่เราต้องการ เช่น น้ำตาล เนย นม ไข่ไก่ ผลไม้ โกโก้ เป็นต้น
โดยขนมปังที่อบจนสุกแล้วต้องเอาออกจากแม่พิมพ์หรือถาดอบ ก่อนจะวางทิ้งไว้บนตระแกรงเพื่อไม่ให้ก้นขนมปังแฉะ นอกจากนี้ต้องระวังเรื่องการใช้ยีสต์ไม่ควรที่จะใช้ยีสต์น้อยเกินไปหรือมากเกินไป รวมกระทั่งยีสต์ที่เอามาใช้ก็ไม่ควรนำเอายีสต์ที่เสื่อมคุณภาพแล้วมาใช้ ในส่วนของวิธีการการนวดแป้งเองก็มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน โดยไม่ควรนวดแป้งน้อยเกินไปหรือมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สำคัญอีกมากเช่น แม่พิมพ์ที่ใช้ไม่ควรเลือกแม่พิมพ์ที่ใหญ่เกินไป และพยายามอย่าใช้อุณหภูมิที่ใช้อบสูงเกินไป เป็นต้น นอกนั้นยังไม่พอขนมปังยังมีเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยให้เราได้แสะหาความรู้และฝึกฝนอีกมาก หากผู้ใดใคร่ที่จะเริ่มเรียนทำเบเกอรี่แต่ยังไม่กล่าหรือกลัวว่าจะทำไม่ได้ จงบอกตัวเองว่า“อย่ากลัวที่จะเรียนรู้”

ฉะนั้นแล้วผู้ที่สนใจเกี่ยวกับขนมปัง หรือต้องการเรียนทำขนมปัง ควรที่จะฝึกฝนอยู่ทุกๆวัน และหัดเรียนทำเบเกอรี่ชนิดต่างๆเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และนำเอาข้อบกพร้องที่พบมาปรับปรุง ซึ่งไม่นานก็จะสามารถพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

 

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สอนทำเค้ก

เริ่มเรียนทำเบเกอรี่ กับ 4 ชนิดขนมปังที่ไม่ควรพลาด

เหล่าสาวกเบเกอรี่รู้หรือไม่ว่าขนมปังที่เราที่ทานกันอยู่ในปัจจุบันนั้นมีกี่ประเภทและแต่ละชนิดมีความต่างกันอย่างไร วันนี้โรงเรียนสอนทำเบเกอรี่ครูอ้วน จะแนะนำให้รู้จักเกี่ยวกับขนมปังแต่ละประเภทกันมากขึ้น ว่าจริงๆแล้วขนมปังมีอยู่กี่ชนิดและแต่ละชนิดนั้นมีความต่างกันอย่างไรบ้างเรามาทำความรู้จักและเริ่มเรียนทำเบเกอรี่กันได้เลย



เริ่มต้นจากชนิดของขนมปัง สำหรับชนิดขนมปังนั้นสามารถแบ่งประเภทได้ตามปริมาณของน้ำตาลและไขมันที่อยู่ในขนมปัง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ

  1. ขนมปังผิวแข็ง (Hard Bread) โดยขนมปังผิวแข็งหรือHard Bread ส่วนใหญ่แล้วจะมีปริมาณของน้ำตาลอยู่ที่ 0-2% และมีไขมันต่ำเพียงแค่0-3% จึงทำให้เนื้อขนมปังชนิดนี้จะมีเนื้อที่ได้มีความชุ่มชื้นน้อยและมีเปลือกแข็ง ยกตัวอย่างเช่น บาแก็ต หรือที่เราเรียกกันว่าขนมปังฝรั่งเศส เป็นต้น “นั่นแน่” เริ่มเรียนทำเบเกอรี่ กับขนมปังชนิดแรกไปแล้ว เรามาดูชนิดต่อไปกันครับ
  2. ขนมปังจืด (Loaf Bread) ส่วนขนมปังจืดหรือLoaf Bread ส่วนใหญ่จะมีปริมาณของน้ำตาลอยู่ที่ 4-8 เปอร์เซ็นต์มีปริมาณไขมันอยู่ที่ ร้อยละ 3-6ยกตัวอย่างขนมปังแบบชนิดขนมปังจืดที่เรารู้จักกันดีเช่นขนมปังแซนวิช ขนมปังหัวกระโหลก เป็นต้น ขนมปังชนิดนี้ทำไม่ยากเหมาะมากสำหรับผู้ที่เพิ่งจะ “เริ่มเรียนทำเบเกอรี่”

 

  1. ขนมปังกึ่งหวาน (Soft bun) สำหรับขนมปังกึ่งหวานหรือSoft bun โดยทั่วไปจะมีปริมาณของน้ำตาล 10-14%มีปริมาณไขมันอยู่ที่ ร้อยละ 8-12 ซึ่งเนื้อของขนมปังชนิดนี้จะมีลักษณะของเนื้อขนมปังที่นุ่มนิ่มหรืออาจจะมีไส้ด้วยก็อร่อยดียกตัวอย่างขนมปังชนิดนี้เช่น ขนมปังแฮมเบอเกอร์ ขนมปังฮอทดอก เป็นต้น ขนมปังชนิดนี้เป็นที่ต้องการอย่างแพร่หลาย หากเรียนทำเบเกอรี่ชนิดนี้รุ่งเรื่องอย่างแน่นอน
  2. ขนมปังหวาน (Sweet Dough) ขนมปังชนิดสุดท้ายอย่างขนมปังหวานหรือSweet Dough โดยทั่วไปจะมีปริมาณของน้ำตาลสูงถึง 16-22%และจะมีปริมาณของไขมันอยู่ที่ 12-24 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

สำหรับในส่วนของส่วนผสมขนมปังนั้น จะแบ่งส่วนผสมหลักๆที่ใช้ในการทำขนมปังออกเป็น 2 ส่วนคือ
1.ส่วนผสมที่เป็นองค์ประกอบ|หลักๆของขนมปังอย่างเช่น แป้งสาลี ยีสต์ น้ำ และ เกลือ
2.ส่วนผสมอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับชนิดและลักษณะของขนมปังที่เราต้องการ เช่น น้ำตาล เนย นม ไข่ไก่ ผลไม้ โกโก้ เป็นต้น
โดยขนมปังที่อบจนได้ที่แล้วแนะนำให้เอาออกจากพิมพ์หรือถ้วยอบ ก่อนจะวางทิ้งไว้บนตระแกรงเพื่อไม่ให้ก้นขนมปังแฉะ นอกจากนี้ยังต้องระวังเรื่องการใช้ยีสต์ไม่ควรที่จะใช้ยีสต์น้อยเกินไปหรือมากเกินไป รวมไปถึงยีสต์ที่นำมาใช้ก็ไม่ควรนำเอายีสต์ที่เสื่อมคุณภาพแล้วมาใช้ ในส่วนของวิธีการการนวดแป้งเองก็มีความสำคัญมากเช่นกัน โดยไม่ควรนวดแป้งน้อยเกินไปหรือมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สำคัญอีกมากเช่น พิมพ์ที่ใช้ไม่ควรเลือกพิมพ์ที่ใหญ่เกินไป และไม่ควรใช้อุณหภูมิที่ใช้อบสูงเกินไป เป็นต้น ไม่หมดเพียงเท่านี้ขนมปังยังมีเคล็ดลับให้เราได้เรียนรู้และฝึกฝนอีกมาก หากผู้ใดสนใจที่จะเริ่มเรียนทำเบเกอรี่แต่ยังไม่กล่าหรือกลัวว่าจะทำไม่ได้ จงบอกตัวเองว่า“อย่ากลัวที่จะเรียนรู้”

ดังนั้นผู้ที่สนใจเกี่ยวกับขนมปัง หรือต้องการหัดทำขนมปัง ควรที่จะฝึกฝนอยู่ทุกๆวัน และหัดเรียนทำเบเกอรี่ชนิดอื่นๆเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และนำเอาข้อเสียที่พบมาปรับปรุง ซึ่งไม่นานก็จะสามารถพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

 

เริ่มเรียนทำเบเกอรี่ กับ 4 ชนิดขนมปังที่จำเป็นต้องรู้จัก

ทุกๆคนรู้หรือไม่ว่าขนมปังที่เราที่กินกันอยู่ในปัจจุบันนั้นมีกี่ชนิดและแต่ละชนิดมีความต่างกันอย่างไร วันนี้โรงเรียนสอนทำเบเกอรี่ครูอ้วน จะแนะนำให้รู้จักเกี่ยวกับขนมปังแต่ละชนิดกันมากขึ้น ว่าจริงๆแล้วขนมปังมีอยู่กี่ชนิดและแต่ละชนิดนั้นมีความคล้ายกันอย่างไรเรามาทำความรู้จักและเริ่มเรียนทำเบเกอรี่กันได้เลย



เริ่มจากชนิดของขนมปัง สำหรับชนิดขนมปังนั้นสามารถแบ่งได้ตามปริมาณของน้ำตาลและไขมันที่อยู่ในขนมปัง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ

  1. ขนมปังผิวแข็ง (Hard Bread) โดยขนมปังผิวแข็งหรือHard Bread ส่วนมากแล้วจะมีปริมาณของน้ำตาลอยู่ที่ 0-2% และมีไขมันต่ำเพียงแค่0-3% ทำให้เนื้อขนมปังชนิดนี้จะมีเนื้อที่ได้มีความชุ่มชื้นน้อยและมีเปลือกนอกแข็ง ยกตัวอย่างเช่น บาแก็ต หรือที่เราเรียกกันว่าขนมปังฝรั่งเศส เป็นต้น “นั่นแน่” เริ่มเรียนทำเบเกอรี่ กับขนมปังชนิดแรกไปแล้ว เรามาดูชนิดต่อไปกันครับ
  2. ขนมปังจืด (Loaf Bread) ส่วนขนมปังจืดหรือLoaf Bread ส่วนใหญ่จะมีปริมาณของน้ำตาลอยู่ที่ 4-8 เปอร์เซ็นต์มีปริมาณไขมันอยู่ที่ 3-6%ยกตัวอย่างขนมปังแบบชนิดขนมปังจืดที่เรารู้จักกันดีเช่นขนมปังแซนวิช ขนมปังหัวกระโหลก เป็นต้น ขนมปังชนิดนี้ค่อนข้างทำง่ายเหมาะมากสำหรับผู้ที่เพิ่งจะ “เริ่มเรียนทำเบเกอรี่”

 

  1. ขนมปังกึ่งหวาน (Soft bun) สำหรับขนมปังกึ่งหวานหรือSoft bun โดยทั่วไปจะมีปริมาณของน้ำตาล มากถึง 10-14เปอร์เซ็นต์มีปริมาณไขมันอยู่ที่ 8-12% เลยทำให้เนื้อของขนมปังชนิดนี้จะมีลักษณะของเนื้อขนมปังที่นุ่มนิ่มหรืออาจจะมีไส้ด้วยก็ได้เช่นกันยกตัวอย่างขนมปังชนิดนี้เช่น ขนมปังแฮมเบอเกอร์ ขนมปังฮอทดอก เป็นต้น ขนมปังชนิดนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย หากเรียนทำเบเกอรี่ชนิดนี้ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
  2. ขนมปังหวาน (Sweet Dough) ขนมปังชนิดสุดท้ายอย่างขนมปังหวานหรือSweet Dough ทั่วไปจะมีปริมาณของน้ำตาลสูงถึง 16-22%และจะมีปริมาณของไขมันอยู่ที่ ร้อยละ 12-24เลยทีเดียว

สำหรับในส่วนของส่วนผสมขนมปังนั้น จะแบ่งส่วนผสมหลักๆที่ใช้ในการทำขนมปังออกเป็น 2 ส่วนคือ
1.ส่วนผสมที่เป็นองค์ประกอบ|หลักๆของขนมปังอย่างเช่น แป้งสาลี ยีสต์ น้ำ และ เกลือ
2.ส่วนผสมอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับชนิดและลักษณะของขนมปังที่เราต้องการ เช่น น้ำตาล เนย นม ไข่ไก่ ผลไม้ โกโก้ เป็นต้น
โดยขนมปังที่อบจนสุกแล้วควรรีบนำออกจากแม่พิมพ์หรือถาดอบ ก่อนจะวางทิ้งไว้บนตระแกรงเพื่อไม่ให้ก้นขนมปังแฉะ นอกจากนี้ควรระวังเรื่องการใส่ยีสต์ไม่ควรที่จะใช้ยีสต์น้อยเกินไปหรือมากเกินไป รวมถึงยีสต์ที่เอามาใช้ก็ไม่ควรนำเอายีสต์ที่เสื่อมคุณภาพแล้วมาใช้ ในส่วนของวิธีการการนวดแป้งเองก็มีความสำคัญมากเช่นกัน โดยไม่ควรนวดแป้งน้อยเกินไปหรือมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สำคัญอีกมากเช่น แม่พิมพ์ที่ใช้ไม่ควรเลือกพิมพ์ที่ใหญ่เกินไป และพยายามอย่าใช้อุณหภูมิที่ใช้อบสูงเกินไป เป็นต้น ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ขนมปังยังมีกลเม็ดให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาอีกมาก หากผู้ใดมีใจรักที่จะเริ่มเรียนทำเบเกอรี่แต่ยังไม่กล่าหรือกลัวว่าจะทำไม่ได้ จงบอกตัวเองว่า“อย่ากลัวที่จะเรียนรู้”

ฉะนั้นแล้วผู้ที่สนใจเกี่ยวกับขนมปัง หรือต้องการเรียนทำขนมปัง ควรที่จะฝึกฝนอยู่เป็นประจำ และหัดเรียนทำเบเกอรี่ชนิดอื่นๆเพื่อให้เกิดการพัฒนาและนำเอาข้อควรแก้ไขที่พบมาปรับปรุง ซึ่งไม่นานก็จะสามารถพัฒนาตัวเองให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก